เป็นหน่วยงานในกรรมาธิการฝ่ายสังคมที่แตกแขนงมาจากสภาคาทอลิกฯ เพื่อเอาใจใส่และทำการศึกษาความอยุติธรรมในรูปแบบต่างๆ ในสังคมไทย โดยสภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทยประกาศตั้งขึ้น “อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2520” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
- ส่งเสริมให้ศาสนิกมีความตื่นตัวสนใจในปัญหาความอยุติธรรมและกรณีต่างๆ ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน
- ศึกษาวิเคราะห์ถึงที่มาของปัญหาความอยุติธรรมต่างๆ อย่างถี่ถ้วน
- เผยแพร่ข้อมูลและผลของการศึกษานั้น ด้วยวิธีการต่างๆในหมู่ผู้ที่เกี่ยวข้องและสาธารณชนทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ
- ร่วมมือและประสานงานกับบุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งโดยตรงและ โดยอ้อม เพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้นด้วยสันติวิธี
กิจกรรมของคณะกรรมการยุติธรรมและสันติแห่งประเทศไทยส่วนใหญ่จึงเป็น เรื่องของการศึกษาหาข้อเท็จจริงถึงความอยุติธรรมในสังคมในรูปแบบต่างๆ และทำการเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับรู้ และหาวิธีแก้ไขความอยุติธรรมนั้น
งานด้านยุติธรรมและสันติ พระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทยได้จับงานด้านนี้พร้อมกับการก่อตั้งสภาคาทอลิกฯและ โดยการใช้สาร “สังคมพัฒนา” “วารสาร” “ผู้ไถ่” และการรณรงค์ในเทศกาลมหาพรต เป็นสื่อสำคัญในการเผยแพร่ความอยุติธรรมในสังคม นอกจากนี้ยังทำการแปลเอกสาร “ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน” (Justice in the World)
ของ สังฆสภา Synod of Bishops ปี พ.ศ.2514 (ค.ศ.1971) “เป็นหนังสือที่ชี้ให้เห็นความอยุติธรรมในที่ต่างๆและได้ให้วิธีการแก้ไขด้วย”
โครงสร้างการทำงานของคณะกรรมการยุติธรรมและสันติมิได้แบ่งตามโครงสร้างของพระศาสนจักรคาทอลิกแห่งประเทศไทยที่แบ่งพื้นที่การทำงานออกเป็น 10 สังฆมณฑล แต่เป็นสำนักงานทำการศึกษาและประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ การเผยแพร่ข้อมูลและรณรงค์เพื่อความยุติธรรมในสังคม ดังนั้นลักษณะกิจกรรมจึงเป็น
“ศึกษาวิเคราะห์ปัญหาความยุติธรรมของสังคมในรูปของการศึกษาเฉพาะกรณี จัดสัมมนาเกี่ยวกับการศึกษาเฉพาะกรณี และให้การศึกษาในรูปของการอภิปราย นิทรรศการ และเอกสารเพื่อการรณรงค์ ทำการประสานงานกับองค์กรอื่นๆ
ให้บริการด้านโสตทัศนูปกรณ์บางประเภท”
การศึกษาและเผยแพร่ข้อมูลของคณะกรรมการยุติธรรมและสันติฯมีลักษณะ จับเป็นประเด็นและทำการติดตามผลการศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยจะสังเกตได้จากการทำงานทั้ง 2 ระยะ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2522-2525 และ พ.ศ.2526-2528 ของคณะกรรมการ ที่มีการที่มีการศึกษาวิจัยรายกรณีอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดโดยจะเห็นได้จาก หัวข้อศึกษา เช่น
“การศึกษาผลกระทบการลงทุนของบรรบัทลงทุนข้ามชาติในประเทศไทยเช่น กรณีบริษัทโดลไทยแลนด์ (ผู้ผลิตสับปะรดกระป๋อง) โดยการศึกษาผลที่มีต่อสภาพแวดล้อมและชาวไร่สับปะรดที่อยู่ใกล้เคียงบริษัทฯ”
“ศึกษาผลกระทบของการท่องเที่ยวที่มีต่อรายได้ สถานภาพแรงงาน สังคมและวัฒนธรรมในจังหวัดเชียงใหม่ ชลบุรี กรุงเทพฯ สงขลาและภูเก็ต” และ “ศึกษาปัญหา ของคนงานในโรงงานขนาดเล็กในเขตกรุงเทพฯ”
นอกจากนี้ยังมีการศึกษารายกรณีอื่นๆ อีก เช่น ข้อมูลแรงงานไทยในต่างประเทศ แรงงานสตรี การแปลและเผยแพร่ผลการสัมมนาต่างๆ เป็นต้นหัวข้อศึกษาเหล่านี้ แม้ว่าจะเป็นการศึกษาเฉพาะกรณีแต่ก็มีความต่อเนื่องอยู่ในตัวเอง กล่าวคือ การศึกษา “ความเป็นมาและวัฒนธรรมชาวกระเหรี่ยงในประเทศไทย” ซึ่งได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2528 นั้น ก็ยังคงดำเนินการศึกษาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยจะเห็นได้จาก วารสาร “ผู้ไถ่” ฉบับแรกของปี พ.ศ.2530 เป็นเรื่องชาวเขา “การศึกษาปัญหาของชาวไร่อ้อย” ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ.2528 และ “การศึกษาผลกระทบของการท่องเที่ยว” ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องมาโดยตลอดของคณะกรรมการฯ”
กล่าวโดยสรุป การทำงานของคณะกรรมการยุติธรรมและสันติแห่งประเทศไทย มีลักษณะการเสนอข้อมูลเชิงสำรวจ การรณรงค์เพื่อความยุติธรรมมากกว่าจะลงมือปฏิบัติเหมือนกับหน่วยงานอื่นๆ โดยการประสานงานจัดสัมมนาเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ กับหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อขยายขอบเขตจิตสำนึก และการรณรงค์ให้กว้างไกล โดยผ่านหน่วยงานเหล่านั้น หรืออาจจะผ่านสิ่งตีพิมพ์ในรูปแบบต่างๆ และการจัดนิทรรศการเป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นประชาชนมีความตื่นตัวต่อปัญหาความอยุติธรรม ในทุกรูปแบบ