บรรดามุขนายก บาทหลวง นักบวช และพี่น้องสัตบุรุษทุกท่าน
ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์สู้รบในประเทศเมียนมาตั้งแต่เมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคม พ.ศ.2564 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ยังผลให้มีชาวเมียนมาหนีภัยจากการสู้รบมาอาศัยอยู่ในป่าตลอดแนวชายแดนไทย-เมียนมา ตั้งแต่จังหวัดแม่ฮ่องสอนลงมาจนถึงราชบุรี โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก มีผู้หนีภัยเป็นจำนวนมากที่ยังไม่กล้าเดินทางกลับภูมิลำเนา อีกทั้งสถานการณ์การสู้รบก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงในเร็ววัน คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อการอภิบาลสังคม แผนกสงเคราะห์ผู้ประสบภัยและผู้ลี้ภัย (มูลนิธิโคเออร์) ร่วมกับคาริตัสหรือฝ่ายสังคมของสังฆมณฑลเชียงใหม่ สังฆมณฑลนครสวรรค์ และสังฆมณฑลราชบุรี พร้อมกับหน่วยงานคาทอลิก หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนองค์กรการกุศลต่างๆ ให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่เพียงพอ
เพื่อแสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันในความเป็นภราดรภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่กำลังตกทุกข์ได้ยากที่กำลังลี้ภัยอยู่ตามชายแดนในขณะนี้ กรรมาธิการฝ่ายสังคม (คาริตัสไทยแลนด์) ภายใต้สภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย ขอเชิญชวนทุกสังฆมณทล คณะนักบวชชาย-หญิง หน่วยงาน องค์กรคาทอลิก และพี่น้องคริสตชนผู้มีน้ำใจดีทั้งหลาย ได้แสดงความรัก ความเอื้ออาทรต่อพี่น้องของเราที่ประสบกับความทุกข์ยากลำบาก
“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเรา ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา….” (มธ 25:40)
ขอเชิญพี่น้องได้ร่วมกันภาวนาขอพระเจ้าโปรดบรรเทาใจผู้ที่ได้รับผลกระทบ และดลบันดาลให้สถานการณ์คลี่คลายในเร็ววัน พร้อมกันนี้ขอเชิญชวนบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือพี่น้องของเราเหล่านี้ตามกำลังความสามารถ โดยท่านที่ประสงค์จะให้การสนับสนุนช่วยเหลือให้ดำเนินการดังนี้
เช็คสั่งจ่าย : สภาพระสังฆราชฯ CARITAS THAILAND
โอนเงิน : สภาพระสังฆราชฯ CARITAS THAILAND (บรรเทาฯ)
ธนาคาร TMB Thanachart สาขาสุรวงศ์
บัญชีออมทรัพย์เลขที่ : 078-2-35187-8
ขอพระเจ้าโปรดตอบแทนในน้ำใจดีของทุกท่าน ที่ร่วมมือกันช่วยบรรเทาทุกข์ให้กับพี่น้องชาวเมียนมาที่กำลังประสบความยากลำบากอยู่ในขณะนี้
ขอพระเจ้าอำนวยพร
(มุขนายก ยอแซฟ ชูศักดิ์ สิริสุทธ์)
ประธานสภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย
(มุขนายก ฟิลิป บรรจง ไชยรา)
ประธานกรรมาธิการฝ่ายสังคม (คาริตัสไทยแลนด์)
หมายเหตุ – กรุณาส่งเอกสารสำเนาการโอนเงินมาที่ แฟกซ์ : 0 2681 5369-70 (วงเล็บ “ช่วยเหลือผู้หนีภัยชาวเมียนมา”)